[รีวิว] The Adam Project Netflix ย้อนเวลาได้ มีอะไรอยากบอกตัวเอง ?

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin

The Adam Project Netflix หลังจากร่วมงานกับ Netflix ใน ‘Red Notice’ พระเอกแถวหน้าอย่างไรอัน เรย์โนลดส์ (Ryan Reynolds) ก็ผลักดันผลงานชิ้นใหม่อย่าง ‘The Adam Project’ โดยชูจุดเด่นเรื่องของการเดินทางข้ามเวลามาผสมผสานกับหนังแนวครอบครัวที่ยังไม่ทิ้งคาแรกเตอร์กวน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเรย์โนลดส์

ตามชื่อเรื่องเลย…อดัม นักบินในโลกอนาคตปี 2050 ได้ขโมยยานติดไทม์แมชชีนเพื่อกลับไปยังปี 2018 เพื่อตามหาคนรักแต่เกิดข้อผิดพลาดจนเขามาโผล่ในปี 2022 และที่นี่เองที่เขาได้พบกับตัวเขาเองในวัย 12 ปี และเพื่อให้สามารถตามหาแฟนสาวได้ทันอดัมทั้ง 2 จำเป็นต้องร่วมมือกันก่อนจะสายเกินไป

จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ ‘The Adam Project’ ยืนอยู่เหนือหนังใน Netflix เรื่องอื่นคงหนีไม่พ้นแนวคิดแบบหนังบล็อกบัสเตอร์และทำแบบหนังบล็อกบัสเตอร์กล่าวคือมันถูกปั้นหน้าหนังมาให้คนคาดหวังความสนุกของมันได้จากงานดีไซน์ต่าง ๆ ทั้งคอสตูมเอย การออกแบบงานสร้างเอยไปจนถึงสื่อประชาสัมพันธ์ที่คาดชื่อไรอัน เรย์โนล์ดส์มาเป็นจุดขาย พ่วงด้วยเครดิตงานกำกับของชอว์น เลวี (Shawn Levy) ที่เพิ่งร่วมงานกับเรย์โนลดส์ไปใน ‘Free Guy’ และยังไม่ใช่คนอื่นคนไกลของ Netflix เพราะเขาก็คือโชว์รันเนอร์ของซีรีส์ ‘Stranger Things’ นั่นเอง

แต่ก็เป็นดาบสองคมเหมือนกันเพราะพอหนังเล่นใหญ่และประกาศตัวเองลง Netflix คนดูบางส่วนอาจรู้สึกว่านี่จะเป็นหนึ่งในหนังตีหัวเข้าบ้านอีกหรือเปล่าเพราะเราก็อกหักไปไม่ใช่น้อยสำหรับหนังในแพลตฟอร์มสตรีมมิงชื่อดังเจ้านี้ แต่ผมขอการันตีได้เลยว่างานนี้ เออ…ของจริงว่ะ ! บอกว่าจะไซไฟก็ไซไฟแบบเต็มเหนี่ยว บอกว่าจะมีฮาก็ได้หลายครืน แถมยังเซอร์ไพร์สด้วยดราม่าที่ไม่คิดว่าหนังจะทำเอาน้ำตารื้นได้ขนาดนั้นด้วยนะ

โดยหัวใจสำคัญของ ‘The Adam Project’ คงหนีไม่พ้นบิ๊กไอเดียที่ว่า “ถ้าเรากลับไปบอกตัวเองตอนเด็กได้ เราจะบอกอะไร” ซึ่งมันสามารถจับหัวใจคนดูได้อยู่หมัดตั้งแต่การสร้างตัวละครอดัมให้ห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟกต์สุด ๆ จนเรียกได้ว่าเป็นลูสเซอร์ (Looser) คนนึงก็ไม่ผิดนัก แถมยังเป็นลูสเซอร์ยันตัวตนในโลกอนาคตที่แม้จะมีแฟนสาวสุดสวยทว่าเขาก็ดันต้องมาตามหาเธอแบบข้ามกาลเวลาและได้กลับมาเจอตัวเองในวัย 12 ซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์สูญเสียคุณพ่อมาไม่นาน

ซึ่งหัวใจของเรื่องก็ถูกถ่ายทอดได้อย่างดีผ่านการแสดงของไรอัน เรย์โนลดส์และวอล์คเกอร์ สโคเบลล์ (Walker Scobell) ที่แสดงถึงคาแรกเตอร์เหมือนที่แตกต่างของอดัมในสองช่วงวัยได้อย่างมีสีสัน โดยเฉพาะในรายของเรย์โนลดส์ที่สามารถส่งอารมณ์ให้สโคเบลล์ได้อย่างยอดเยี่ยมและเชื่อจริง ๆ ว่าอดัมในอนาคตเองก็เสียใจไม่น้อยกับหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาในชีวิต และยังส่งมุกทะเล้นกวนกันได้น่ารักน่าชังและสร้างความบันเทิงไม่น้อยเมื่อพวกเขาได้ร่วมจอกัน

ส่วนเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ (Jennifer Garner) ก็ชวนเซอร์ไพร์สไม่น้อยเลยสำหรับบทเอลลี่ แม่ของอดัมที่การแสดงของเธอสามารถสื่อถึงความรักของคนเป็นแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม และฉากที่เธอได้เจอกับไรอัน เรย์โนลดส์ในบาร์ก็ทำให้เราอดน้ำตารื้นตามไม่ได้ เรียกได้ว่าการมีอยู่ของการ์เนอร์ทำให้หนังครบรสและน่าประทับใจมาก ๆ

ด้านซีนแอ็กชัน ‘The Adam Project’ ก็ไม่ด้อยไปกว่าหนังฉายโรงเลยทั้งคุณภาพวิชวลเอฟเฟกต์เนียนตา ภาพสวยมากจริง ๆ บ้านใครโทรทัศน์รับดอลบี วิชัน (Dolby Vision) ได้แนะนำให้ลองเลย เพราะสีสีนคอนทราสต์ต่าง ๆ ดูไม่หลอกตาสมจริงมาก และอีกองค์ประกอบคือการมีอยู่ของ แคเธอรีน คีเนอร์ (Catherine Keener) ที่มารับบทมายา ซอร์เรียนได้ร้ายถึงอารมณ์มาก ๆ เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ในส่วนแอ็กชันของหนังทำงานกับผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม

สรุปแล้วคงต้องบอกว่าหลังจากทำเอาสูญเสียศรัทธาในหนังแอ็กชันช่วงที่ผ่านมาของ Netflix มาหลายเรื่อง ‘The Adam Project’ นับเป็นงานล้างตาได้สำเร็จทั้งการเล่าเรื่องที่สนุกสนาน ไม่เอื่อย งานวิช่วลเอฟเฟกต์ตระการตาและถือเป็นหนังไซไฟข้ามเวลาที่พอจะมีแง่มุมใหม่ ๆ มาเล่าได้อย่างสนุกสนานแม้จะแอบโกงเรื่องตรรกะหรืออธิบายหลักการเดินทางข้ามเวลาได้ไม่เคลียร์เท่าไหร่ก็เถอะ

พ่วงไปกับทีมนักแสดงที่เต็มที่มาก ๆ โดยอีกคนที่คัมแบ็คมาให้หายคิดถึงก็คือ โซอี ซัลดานา (Zoe Saldana) ที่มารับบท ‘ลอรา’ หวานใจของอดัมและมาร์ค รัฟฟาโล (Mark Ruffalo) หรือพ่อฮัลค์ที่แม้จะยังไม่ได้เจอกันใน MCU แต่ก็มีโอกาสได้เจอกับเดดพูลอย่างเรย์โนลดส์ในบทพ่อของอดัมนั่นเอง

จุดเด่น The Adam Project Netflix

  • เล่าเรื่องการเดินทางข้ามเวลาผสมผสานกับดรามาได้ลงตัว โดยไม่ทิ้งอารมณ์ขัน The Adam Project Netflix
  • วิช่วลเอฟเฟกต์คือดจีย์มาก ล้ำหน้าเกินหนังฉายโรงบางเรื่องไปหลายช่วงตัว
  • ไรอัน เรย์โนลดส์ นอกจากตลกแล้ว พาร์ตดรามาคราวนี้ทำเอาเราเสียน้ำตาได้เลย

จุดสังเกต

  • หลักการข้ามเวลาหนังอาจจะยังอธิบายได้ไม่เคลียร์เท่าไหร่ แต่เอาเถอะหนังออกมาสนุกขนาดนี้ ให้อภัยได้ The Adam Project Netflix

บทความที่น่าสนใจ